1. การปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าชายเลนในพื้นที่บุกรุก
2. การลาดตระเวณเพื่อการป้องกันรักษาป่าชายเลน
3. การทวงคืนผืนป่าชายเลน
4. การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่มีผู้บุกรุกในพื้นที่ป่าชายเลน
5. การฟื้นฟูที่ที่ทวงคืนโดยการปลูกป่าชายเลน

1. การจัดที่ดินทำกินและเพื่อการอยู่อาศัยให้ชุมชนในพื้นที่ป่าชายเลน ตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้คณะกรรมการนโยบาย
2. การจัดทำป่าชายเลนอนุรักษ์ตาม มาตรา 18 และการดำเนินมาตรการคุ้มครองตามมาตรา 23
3. การส่งเสริมการมีส่วนร่วมและสนับสนุนชุมชนชายฝั่ง ตามมาตรา 16

การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1:4,000 เพื่อให้แนวเขตไม่ทับซ้อนกัน

1. จัดเก็บขยะตกค้างในระบบนิเวศ เช่น ชายหาด ป้าชายเลน ปะการัง โดยใช้ตาข่าย ทุ่นกักขยะ เรือเก็บขยะ และการดำน้ำเพื่อการเก็บขยะ เป็นต้น
2. การกำหนดมาตรการ การรณรงค์ ปลุกจิตสำนึกต่าง ๆ เพื่อลดการทิ้ขยะลงสู่ทะเล
3. ดำเนินการเชิงรุกทั้งระดับประเทศและสากล ร่วมมือกับประเทศในภูมิภาค ผ่านองค์กร นานาชาติ เช่น UNEP IOC และ ASEAN

มาเรียมโมเดลเป็นการถอดบทเรียนจากการที่พื้นที่เกาะลิบงสามารถเพิ่มจำนวนประชากรพะยูนจาก 125 ตัวเป็น 185 ตัวในช่วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมา และการมาของมาเรียมตลอดจนจุดจบของมาเรียมจากปัญหาขยะทะเล โดยมีปัจจัยความสำเร็จ 3 ประการ คือ 1) คนที่รักพะยูน 2) แหล่งหญ้าทะเลที่สมบูรณ์ และ 3) การสร้างความสมดุลของการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรในพื้นที่ มีแนวคิดการแก้ปัญหาเน้นเรื่องการอยู่แบบเกื้อกูลระหว่างคนกับสัตว์ทะเล ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาขะทะเล ทั้งการลดการใช้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวและมาตรการอื่นๆ

แนวทางการดำเนินงาน
1. เป็นผู้นำด้านการดูแลรักษาพะยูนของภูมิภาคเอเชีย โดยการยกระดับเครือข่ายการช่วยเหลือ การดูแลรักษา สถานที่ อุปกรณ์ บุคลากร เครือข่ายท้องถิ่น อาสาสมัคร การวิจัย การประชุม คาอบรมทางวิชาการให้เกิดระบบที่ทันสมัยมีประสิทธิภาพ
2. มีแผนการอนุรักษ์พะยูนแห่ชาติ มีเป้าหมายให้เพิ่มจำนวนพะยูนในประเทศไทย โดยลดการเสียชีวิตของพะยูนจากเครื่องมือประมงไม่เกินร้อยละ 45 จากปัจจุบันร้อยละ 90 โดยให้ใช้บทเรียนจากกรณีมาเรียมที่คนทั้ประเทศได้ให้ความรัก ความหวังกับการเลี้ยงดูมาเรียมและไม่ต้องการให้มาเรียมต้องตายฟรีจากการถอดบทเรียน ลิบงโมเดล ซึ่งสามารถพิมจำนวนพะยูนจาก 125 ตัว เป็น 185 ตัวในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยความสำเร็จ 3 ประการ คือ 1) คนที่รักพะยูน 2) แหล่งหญ้าทะเลที่สมบูรณ์ และ 3) การสร้างความสมดุลของการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรในพื้นที่

3. การจัดประชุมพะยูนโลกในประเทศไทย

- สัตว์ทะเลหายากแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม 1) เต่าทะเล 2) พะยูน 3) โลมาและวาฬ

- สาเหตุการตายของเต่าทะเลและพยูน ร้อยละ 80% เกิดจากเครื่องมือประมง อวน และใบพัดเรือ ส่วนสาเหตุการตายของโลมาและวาฬ ร้อยละ 65 เกิดจากการป่วยตายตามธรรมชาติ

1. งานฟื้นฟูปะการังโดยการปลูกเสริม
     1) เตรียมกิ่งพันธุ์เพื่อใช้ในการปลูกเสริมตามวิธีที่กำหนด
     2) อนุบาลกิ่งพันธุ์เพื่อใช้ในการปลูกเสริม
     3) คำเนินการนำกิ่งพันธุ์ไปปลูกเสริมในพื้นที่เป้าหมาย
     4) ติดตามผลการฟื้นฟูในพื้นที่ดำเนินการ
     5) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและเสริมสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
     6) การบริหารจัดการบำรุงรักษาพื้นที่ที่เคยฟื้นฟู โดยการสำรวจพื้นที่ฟื้นฟูทรัพยากรและบำรุงรักษา

2. งานฟื้นฟูหญ้าทะเลโดยการปลูกเสริม
     1) เตรียมม็ดพันธ์/ ตันพันธุ์หญ้าทะเลเพื่อใช้ในการปลูกเสริมตามวิธีที่กำหนด
     2) อนุบาลตันพันธุ์เพื่อใช้ในการปลูกเสริม
     3) ดำเนินการนำต้นพันธุ์หญ้าทะเลไปปลูกเสริมในพื้นที่เป้าหมาย
     4) ติดตามผลการฟื้นฟูในพื้นที่ดำเนินการ
     5) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและเสริมสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
     6) การบริหารจัดการ/บำรุงรักษาพื้นที่ที่เคยฟื้นฟู โดยการสำรวจพื้นที่ฟื้นฟูทรัพยากรและบำรุงรักษา

ประโยชน์ที่จะได้รับ คือ ประเทศและประชาชนมีระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งโดยมีแนวปะการังที่สมบูรณ์ ส่งผลถึงความหลากหลายของทรัพยากรในแนวปะการัง ซึ่งมีการประโยชน์ในการประกอบอาชีพ นันทนาการ และอื่นๆ อย่างยั่งยืน สืบเนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์ปะการังไทยอยู่ในระดับวิกฤต มีปะการังที่สมบูรณ์ประมาณร้อยละ 20 จากพื้นที่ทั้งหมด 150,000 ไร่ เกิดผลกระทบต่อการท่องเที่ยว การประมงและความหลากหลายทางชีวภาพ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปะการังเสื่อมโทรมมาจากการเกิดปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาว ซึ่ง การเกิดปรากฎการณ์เอลนีโญ ทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลไทยสูงกว่าปรกติจนเกินระดับวิกฤต ทำให้ปะการังฟอกขาวเป็นบริเวณกว้างทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันด่ามัน ถึงแม้ว่าจากการวิจัยทางด้านปะการังในหลายพื้นที่ พบว่าแนวปะการังที่เสียหายจากภัยทางธรรมชาติ เช่น ปะการังฟอกขาวสามารถฟื้นตัวเองได้ตามรรมชาติได้ แต่จากสถานการณ์ปีจจุบันพบว่าแนวปะการังของประเทศไทยส่วนใหญ่ไม่สามารถฟื้นตัวได้ นื่องจากได้ร้ผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากกิจกรมของมนุษย์ รวมทั้งปัญหาจากคุณภาพน้ำที่เสื่อมโทรมล จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำการปลูกเสริมเพื่อช่วยฟื้นฟูปะการังในธรรมชาติโดยเน้นดำเนินการควบคู่ไปกับการบริหารจัดการเชิงฟื้นที่ด้วย

อาศัยมาตรา 20 ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งพ.ศ. 2558 ภายใต้เงื่อนไข

(1) พื้นที่ที่มีทรัพยากรทงทะเลและชายฝั่งอยู่ในสภาพสบณ์อันสมควรสงวนไว้ให้คงอยู่ ในสภาพทางธรรมชาติเดิม

(2) พื้นที่ที่เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์และพืชตามสภาพทางธรรมชาติที่สมบูรณ์

(3) พื้นที่ที่มีความสำคัญด้านระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งอันควรแก่การอนุรักษ์ พื้นที่ที่ กำหนดให้เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตามวรรคหนึ่งต้องเป็นพื้นที่ ที่มิได้อยู่ในเขตอนุรักษ์ หรือเขตที่ได้รับอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำตามกฎหมายว่าด้วยการประมง สำหรับมาตรา 22 ใช้ในกรณีที่ปรากฎว่าทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอาจถูกทำลายหรือได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงเข้าขั้นวิกฤติ หรือเป็นกรณีที่คณะกรรมการเห็นว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง สงวน คุ้มครอง หรืออนุรักษ์ไว้เพื่อประโยชน์หรือสร้างความสมบูรณ์ของระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งกรณีการออกประกาศกระทรวไม่มีข้อกำหนดห้ามพื้นที่ที่จะประกาศกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมีเป้าหมายในการเสนอพื้นที่คุ้มครองทางทะเล ตามมาตรา 20 และมาตรา 2 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งสิ้นจำนวน 35 พื้นที่พื้นที่ที่เริ่มดำเนินการปี 20 และอยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายปี 2562 มี จำนวน 10 ผื้นที่ ได้แก่
          1) อ่าวตราด (แหลมกลัด - คลองใหญ่ จังหวัดตราด
          2) เกาะทะลุ จ.ประจวบคีรีชันธ์
          3) แนวปะทะกระแสน้ำไหล่ทวีป (shelf break front)
          4) เกาะสะเก็ด จังหวัดระยอง
          5) เกาะหมาก จังหวัด ตราด
          6)เกาะล้าน เกาะครก เกาะสาก จังหวัดชลบุรี
          7) เกาะไข่ จังหวัดชุมพร
          8) เกาะโลซิน จังหวัดปัตตานี
          9) เกาะเหลื่อม จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 
          10) อ่าวขนอม จ.นครศรีธรรมราชดำเนินการปี 2561 และอยู่ระหว่างจัดทำกระบวนการรับฟังความคิดเห็นปี 2562 มีจำนวน 6 พื้นที่ ได้แก่
                1) เกาศรีบอยา จังหวัดกระบี่
                2) เกาะหนู เกาะแมว จังหวัดสงขลา
                3) กลุ่มเกาะเปริด จังหวัดจันทบุรี
                4)กลุ่มเกาะประจวบตอนบน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
                5) กลุ่มเกาะระนอง จังหวัดระนอง
                6) กลุ่มเกาะสตูล จังหวัดสตูลพื้นที่ที่เริ่มดำเนินการปี 2563 จำนวน 6 พื้นที่ ได้แก่
                     1) กลุ่มเกาะกูด จังหวัดตราด
​                     2) กลุ่มเกาะล้าน จังหวัดชลบุรี
​                     3) เกาะทะลุสย จังหวัดสุราษฎร์ธานี
​                     4)กลุ่มเกาะกง พะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี

5 เกาะพิทักษ์ จังหวัดชุมพร

1. ส่งเสริม สนับสนุนให้ประชาชนที่อยู่อาศัยบริเวณพื้นที่บำชายเลนใช้เครื่องมือประมงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
2. การขึ้นทะเบียนชุมชนชายฝั่ง
3. การส่งเสริมอาชีพการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากป่าชายเลน/สัตว์น
4. เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนชายฝั่งในเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้กำหนดรูปแบบการปักไม้ไผ่ มีรายละเอียดโดยสังเขป คือ เป็นการปักไม้ไผ่ตงขนาดความโตที่กลางลำต้นไม่น้อยกว่า 3 นิ้ว ความยาว 5 เมตร โดยปีกเป็นแถว 5 แถว ความลึกประมาณ 2 เมตร โผล่พ้นพื้นดินประมาณ 3 เมตร ปักเหลื่อมซ้อนกันแบบสลับฟันปลาปิดซ่องว่าง โดยมีจำนวนไม้ไผ่ไม่น้อยกว่า 35 ลำต่อความยาวของแนวไม้ไผ่ 1 เมตร สำหรับช่องทางให้เรือเข้าออกจะกว้างประมาณ 10 เมตร และมีแนวไม้ไผ่ปิดบังด้านหน้าห่างออกไปประมาณ 10 เมตร โดยทำการปักห่างจากชายฝั่ง 50 เมตร และระยะห่างของแต่ละชั้นไม่เกิน 50 เมตร

โครงการบูรณาการจัดการป้องกันและแก้ไชปัญหาการกัดเชาะชายฝั่งทะเล 23 จังหวัด กิจกรรมป้องกันปัญหาการกัดเชาะชายฝั่ง ตามมาตรา ๒ค แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 อยู่ในแผนงานยุทธศาสตร์จัดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ

สอดคล้องกับแผนปฏิรูป : เรื่อง ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ประเด็นปฏิรูปที่ 10 การแก้ไข ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งงบประมาณ 27.9282 ล้านบาท ประกอบด้วยค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์เพื่อจัดทำแผนการจัดการพื้นที่ชายฝั่งระบบหด ดำเนินการในพื้นที่ประสบปัญหากัดเซาะร่งตน 7 กลุ่มหาด 8 จังหวัด 213.67 กม. เงิน 25.2317 ลบ. (รายจ่ายประจำ) และครุภัณฑ์สำรวจ 3 รายการ รวมเงิน 2.6965 ลบ.เพื่อใช้สำรวจรังวัดแนวชายฝั่ง เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงแนวชายฝั่ง โดยมีวัตถุประสงค์ในการประกาศเขตพื้นที่ที่ต้องใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเชาะชายฝั่งที่กำหนดให้ดำเนินการไว้ในพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ผศ. 2558 (มาตรา 24) เพื่อป้องกันปัญหาการกัดเชาะชายฝั่ง และป้องกันความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง มีความเหมาะสมต่อสภาพพื้นที่ ถูกต้องตามหลักวิชาการ ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นการมีส่วนร่วมและการยอมรับจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้ที่เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วน สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงและเกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนเป็นกลไกทางกฎหมายที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันหรือยับยั้งปัญหาการกัดเชาะชายฝั่ง และความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจากการดำเนินกิจกรรมหรือกระทำการใดๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อชายฝั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ผลที่คาดว่าจะได้รับ : ระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้รับการคุ้มครองป้องกันจากภัยคุกคามและผลกระทบจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง

แนวทางการจัดทำแผนงาน/โครงการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 16 มกราคม 2561

ขั้นตอนที่ 1 การคัดเลือกพื้นที่ เพื่อประเมินสถานการณ์การกัดเชาะชายฝั่งและประเมินสภาพปัญหาและความสำคัญของพื้นที่ ด้านเศรษฐกิจสังคม

ขั้นตอนที่ 2 กำหนดแนวทางที่เหมาะสม มาตรการสีขาว (การกำหนดแนวถอยร่น) สีเขียว (การใช้ธรรมชาติ เช่น การปักไม้ไผ่) และ สีเทา (การใช้โครงสร้างแข็ง

ขั้นตอนที่ 3 การดูแล บำรุงรักษา ติดตามและประเมินผล

ครุภัณฑ์ยานพาหนะและขนส่ง (ต่ำกว่า 1 ล้าน)
1. ค่าซ่อมเรือทรัพยากรฯ 222 จำนวน 1 ลำ ราคา 650,000 บ.
- ช่อมบำรุงเครื่องยนต์ (โอเวอร์ฮอล)
2. ค่าซ่อมเรือยาง ขนาด 40 แรงม้า จำนวน 1 ลำ ราคา 290,000 บ.
- ช่อมบำรุงเครื่องยนต์ (โอเวอร์ฮอล), ขึ้นคานตรวจแนวน้ำใต้ท้องเรือ
3. ค่าซ่อมเรือยาง 04 จำนวน 1 ลำ ราคา 258,000 บ.
- ช่อมบำรุงเครื่องยนต์ (โอเวอร์ฮอล), ขึ้นคานตรวจแนวน้ำใต้ท้องเรือ
4. ค่าซ่อมเรือทรัพยากรฯ 203 จำนวน 1 ลำ ราคา 280,000 น.
- ทำสีรอบลำเรือ, ช่อมแทรลเลอร์
5. ค่าซ่อมเรือทรัพยากรฯ 215 จำนวน 1 ลำ ราคา 507,000 บ.
- ขึ้นคานตรวจแนวน้ำใต้ท้องเรือ, ช่อมแทรลเลอร์เรือ
6. ค่าซ่อมเรือทรัพยากรฯ 309 จำนวน 1 ลำ ราคา 500,000 บ.
- ช่อมทำเปลือกเรือ, ทำสีรอบลำเรือ
7. ค่าซ่อมเรือยาง (เรือยาง 07) จำนวน 1 ลำ ราคา 735,000 บ.
- ช่อมทำปากเรือ ตัวเรือ, ซ่อมเตรื่องยนต์
8. ค่าซ่อมเรือยาง (เรือยาง 08) จำนวน 1 ลำ ราคา 500,000 บ.
- ช่อมทำเปลือกเรือ,ซ่อมแทรลเลอร์เรือ

ครุภัณฑ์ยานพาหนะและขนส่ง (มากกว่า 1 ล้าน)
1. ค่าซ่อมเรือทรัพยากรฯ 102 จำนวน 1 ลำ ราคา 1,100,000 บ.
- ช่อมเครื่องยนต์, เปลี่ยนแทรบเบอร์เรือ
2. ค่าซ่อมเรือทรัพยากรฯ 601 จำนวน 1 ลำ ราคา 3,500,200 บ.
- ช่อม-เปลี่ยน เครื่องยนต์และเครื่องจักรใหญ่
3. ค่าซ่อมเรือทรัพยากรฯ 602 จำนวน 1 ลำ ราคา 1,005,000 บ.
- นำเรือขึ้นคานตรวจแนวน้ำใต้ท้องเรือ, ทำสีรอบลำเรือ
4. ค่าซ่อมเรือทรัพยากรฯ 223 จำนวน 1 ลำ ราคา 1,220,000 บ.
- ช่อมทำปากเรือ ตัวเรือ,
5. ซ่อมเปลี่ยนเปลือกเรือๆ 106 จำนวน 1 ลำ ราคา 1,000,000 บ.
- ช่อมทำเปลือกเรือใต้แนวน้ำ, ทำสีรอบลำเรือ, เปลี่ยนตัวยางกันกระแท
6. ซ่อมเปลี่ยนเปลือกทรัพยากรฯฯ 202 จำนวน 1 ลำ ราคา 2,700,000 บ.
- เปลี่ยนเปลือกเรือ, งานระบบไฟ, งานช่างกล
7. ซ่อมเปลี่ยนเปลือกเรือๆ 217 จำนวน 1 ลำ ราคา ราคา 1,900,000 บ.
- เปลี่ยนเปลือกเรือ, งานระบบไฟ, งานช่างกล
8. ช่อมเรือทรัพยากรฯ 401 จำนวน 1 ลำ ราคา 4,000,000 บ.
- ทำสีรอบลำเรือ, งานระบบไฟฟ้, งานช่างกล

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมีภารกิจที่สาคัญในการปฏิบัติงานเพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู คุ้มครองพื้นที่ และรักษาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งไม่ให้ถูกบุกรุกทำลายรวมถึงการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมาย โดยมีบริเวณพื้นที่รับผิดชอบจำกแนวชายฝั่งเขตเศรษฐกิจจำเพาะ 202 ล้านไร่ เพื่อเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานด้านการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จึงได้จัดทำโครงการต่อสร้างเรือ 80 ฟุต เพื่อใช้สนับสนุนในภารกิจต่างๆ ดังนี้
1. ใช้ในการปฏิบัติภารกิจการส่งเสริมเผยแพร่ความรู้ในเรื่องการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้กับชุมชนชายฝั่งทะเลที่อยู่ตามชายฝั่งทะเลและตามเกาะต่างๆ ในพื้นที่ชายฝั่ง จ.สุราษฎร์ธานี ชุมพร และนครศรีธรรมราช
2. ใช้ในการปฏิบัติงานภารกิจการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้กับชุมชนชายฝั่งทะเลที่อยู่ตามชายฝั่งทะเลและตามเกาะต่างๆ ในพื้นที่ชายฝั่งจ.สุราษฎร์ธานี ชุมพร และนครศรีธรรมราช
3. ใช้ในการปฏิบัติงานภารกิจการตรวจสอบและควบคุมป้องกันการบุกรุกทาลายทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่ชายฝั่งจ.สุราษฎร์ธานี ชุมพร และนครศรีธรรมราช
4. มีเครื่องอำนวยความสะดวกสำหรับสนับสนุนนักประดาน้ำการฝึกดำน้ำ และอุปกรณ์ความปลอดภัยสำหรับนักประดาน้ำ เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรใต้น้ำ
จังหวัดสุราษฎร์ธานี ชุมพร และนครศรีธรรมราช เป็นพื้นที่จังหวัดที่ติดทะเลและมีหมู่เกาะในทะเลจำนวนมาก มีเกาะประมาณ 171 เกาะ มีพื้นที่แนวปะการัง ประมาณ 45,747 ไร่, แหล่งหญ้าทะเลในพื้นที่ รวมทั้งหมด 15,912.10 ไร่ สัตว์ทะเลหายากที่พบในพื้นที่ พบโลมาและวาฬ 8 ชนิด คือ โลมาหลังโหนก โลมาอิรวดี โลมาหัวบาตรหลังเรียบ โลมาปาก โลมาปากยาว โลมาฟันห่าง วาฬบรูด้า และวาฬเพชฌฆาตดา ส่วนเต่าทะเลพบ 2 ชนิด ได้แก่ เต่ากระและเต่าตนุ สาหรับพะยูนมีชนิดเดียว คือ พะยูน (Dugong; Dugong dugon)
ประกอบกับเมื่อวันที่ 17 ส.ค. พ.ศ.2561 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ประกาศให้พื้นที่เกาะเต่า อาเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตามมาตรา 17 แห่ง พรบ.ทช. พ.ศ. 2558 จึงจาเป็นต้องมีการตรวจตราลาดคระเวนอย่างเข้มข้น กรมฯ จึงมีความจาเป็นที่ต่อเรือขนาด 80 ฟุต สาหรับภารกิจดูแลทรัพยากรในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ชุมพร และนครศรีธรรมราช ในพื้นที่ สทช. 4

คุณลักษณะครุภัณฑ์โดยย่อ
1. เป็นเรือกลเดินทะเลความเร็วสูง ตัวเรือ ดาดฟ้า และเก๋ง สร้างด้วยอลูมิเนียมอัลลอย ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล (High Speed Marine Diesel Engine) พร้อมเพลาใบจักร จำนวน 2 ชุดเครื่อง
2. ลักษณะเรือเป็นแบบ เรือ 2 ท้อง (CATAMARAN) ตัวเรือลึกกลางลำของแต่ละท้องเรือไม่น้อยกว่า 7 ฟุต เก๋งเรือเป็นแบบ 2 ชั้น
2.1 ความยาวตลอดลำ (Length Overall) ไม่น้อยกว่า 80 ฟุต
2.2 ความกว้างกลางลำ (Moulded Breadth) ไม่น้อยกว่า 28 ฟุต
2.3 กินน้ำลึก (Moulded Draught) ไม่เกิน 6 ฟุต
2.4 เครื่องยนต์มารีนดีเซล พร้อมเกียร์ จานวน 2 ชุดเครื่อง
2.5 เพลาใบจักร จำนวน 2 เพลา
2.6 ใบจักร จำนวน 2 พวง
2.7 ความเร็วสูงสุด (Maximum Speed) ที่ Full loaded ไม่ต่ากว่า 25 น๊อต
2.8 รัศมีทาการสูงสุด (ENDURANCE) ด้วยความเร็วเดินทาง 20 น๊อต ที่ Full loaded ไม่น้อยกว่า 400 ไมล์ทะเล
2.9 จำนวนผู้โดยสาร และ เจ้าหน้าที่ประจำเรือ จำนวนไม่เกินกว่า 60 คน
2.10 ความจุน้ำจืด ไม่น้อยกว่า 4,000 ลิตร
2.11 ความจุน้ำมันเชื้อเพลิงรวม ไม่น้อยกว่า 6,000 ลิตร

ปัจจุบันมี จำนวน 2 ลำ โดยได้รับงบประมาณปี พ.ศ. 2562 ประจำการที่
1. สทช.2 จ.สมุทรสาคร
2. สทช.6 จ.ภูเก็ต
ข้อมูลเบื้องต้น : เป็นเรือใช้เพื่อเก็บขยะในทะเล ปริมาตรถังบรรทุก เก็บขยะได้ 4.0 ลูกบาศก์เมตร หรือ 4,000 ลิตร มีถังเก็บคราบน้ามัน ขนาด 500 ลิตร เก็บขยะโดยใช้ระบบดูดน้ำเข้าหาเรือ และแยกขยะออกจากน้ำทะเลโดยระบบสายพานคัดแยกขยะ มีระบบดูดน้ำปนเปื้อนคราบน้ำมัน มีทุ่นล้อมคราบน้ามัน และระบบสเปรย์กำจัดคราบน้ำมันบนผิวน้ำ ขยะจำพวกขวดพลาสติก ถุงพลาสติก ขยะลอยน้า สามารถเก็บได้เต็มถังบรรทุก ภายใน 30 นาที
คุณลักษณะครุภัณฑ์โดยย่อ :
1. ความยาวรวมตลอดลา ไม่น้อยกว่า 42 ฟุต
2. ความกว้างสุดตลอดลา ไม่น้อยกว่า 10 ฟุต
3. ท้องเรือกินน้าลึก (Draft) ไม่เกินกว่า 5 ฟุต
4. ความเร็วสูงสุด ไม่น้อยกว่า 6 น็อต
5. เครื่องยนต์ ไม่น้อยกว่า 180 แรงม้า จานวน 1เครื่องยนต์
6. ระวางขับน้าสูงสุด ไม่น้อยกว่า 13 ตัน

ในปัจจุบันมีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้อัตราการผลิตเพื่ออุปโภค บริโภค และก่อให้เกิดปัญหาขยะมูล เป็นเหตุให้จำนวนขยะเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี บางส่วนปะปนลงในน้ำทำให้เกิดปัญหาขยะในทะเลตามมา ทำให้ส่งผลกระทบกับสัตว์น้ำทะเลและสิ่งแวดล้อมในทะเล เช่น ปะการังเสื่อมโทรม ปัญหาขยะในท้องทะเลเป็นปัญหาใหญ่ ขยะบางประเภทก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์ นอกจากนี้ขยะพิษที่ทิ้งลงในทะเลยังสามารถสะสมความเป็นพิษในสิ่งแวดล้อม และสายใยอาหารในระบบนิเวศและกระทบต่อความสวยงามของพื้นที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติปากแม่น้ำและป่าชายเลน บริเวณปากน้ำอ่าวไทยอันเป็นแหล่งระบบนิเวศทางทะเลของสัตว์น้ำ และชายฝั่งทะเล ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สาคัญ มีขยะในทะเลสะสมอยู่ในปริมาณมาก โดยเฉพาะเศษพลาสติก ขยะที่ตกค้างสะสมในสิ่งแวดล้อมทางทะเลมีจานวนมากขึ้นทุกวัน ทั้งไม่สามารถกาจัดหรือจัดเก็บออกจากทะเลได้โดยง่าย ส่งผลให้ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม ส่งผลต่อภาพลักษณ์ทำให้นักท่องเที่ยวลดจำนวนลง ส่งผลต่อเนื่องกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเล็งเห็นถึงความสำคัญในการจัดเก็บขยะในทะเลเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้มีความอุดมสมบูรณ์และมีสิ่งแวดล้อมทางทะเลที่ดี และยั่งยืน จึงได้จัดทาโครงจัดซื้อเรือขยะพร้อมอุปกรณ์ เพื่อใช้ในภารกิจจัดเก็บขยะในท้องทะเลเพื่อสนับสนุนกิจกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งด้านอื่นๆ ด้วย (ประจำการที่ สทช.1 จ.ระยอง , สทช.2 จ.ชลบุรี)

เรือขนาด 80 ฟุต มีจำนวนทั้งหมด 6 ลำ แยกเป็น
1.เรือที่ได้รับมอบจากหน่วยงานอื่น
1.1 เรือทรัพยากรฯ 801 ประจำการที่ สทช.2 จ.สมุทรสาคร ปีที่จัดสร้าง 2518 กรมฯ รับโอนจากกรมประมง พ.ศ.2546
1.2 เรือทรัพยากรฯ 802 ประจำการที่ สทช.5 จ.สงขลา ปีที่จัดสร้าง 2518 กรมฯ รับโอนจากกรมประมง พ.ศ.2546
1.3 เรือทรัพยากรฯ 803 ประจำการที่ สทช.3 จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปีที่จัดสร้าง 2531 กรมฯ รับโอนจากกรมทรัพยากรธรณี พ.ศ. 2554 สทช.3 รับโอนมาจาก จ.ระยอง พ.ศ.2559

2. เรือที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจัดจ้างต่อใหม่
2.1 เรือทรัพยากรฯ 804 ประจำการที่ สทช.1 จ.ระยอง ปีที่จัดซื้อจัดจ้าง 2559
2.2 เรือทรัพยากรฯ 805 ประจำการที่ สทช.6 จ.ภูเก็ต ปีที่จัดซื้อจัดจ้าง 2560

3. เรือรับซื้อจากชาวประมง (IUU)
3.1 เรือทรัพยากรฯ 806 ประจาการที่ สทช.5 จ.สงขลา ปีที่จัดซื้อ 2560 ซื้อจากชาวประมง(IUU) **เรือไม้

กิจกรรมที่สำคัญภายใต้กิจกรรมบริหารทะเล
1.โครงการเพิ่มศักยภาพนักดำน้ำเพื่อการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล
2.โครงการศึกษาพัฒนารูปแบบและวิธีการนำวัสดุที่เหมาะสมสาหรับการฟื้นฟูปะการัง
3.โครงการประเมินมูลค่าเศรษฐศาสตร์ของระบบนิเวศปะการังเพื่อสนับสนุนกระบวนการยุติธรรม
4.โครงการทำแผนที่แม่บทบริหารจัดการทรัพยากรปะการังของประเทศไทย
5.การจัดทำพื้นที่คุ้มครองและการอนุรักษ์พะยูน เพิ่มประสิทธิภาพความร่วมมือในการจัดทามาตรการและข้อตกลงความร่วมมือเพื่อการอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายาก
6.ติดตามการปฏิบัติงานด้านการคุ้มครองป้องกันการบุกรุกทาลายระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
7.ลาดตระเวนเชิงคุณภาพทางทะเล (Smart Marine Patrol) เป็นต้น

สรุปผลการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามทางทะเล ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 - 2562

มีระบบการลาดตระเวนทางทะเลเชิงคุณภาพ (Smart Marine Patrol) ที่มีประสิทธิภาพ และเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยการพัฒนาศักยภาพของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ปฏิบัติงานการดูแล คุ้มครองและปกป้องทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้สามารถปฏิบัติงานในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ Smart Marine Patrol ในการลาดตระเวนทางทะเลทำให้การปฏิบัติของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ มีการทำงานที่มีแผนงานและเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม และสามารถนำข้อมูลมาทำการวิเคราะห์ผลของการลาดตระเวนทางทะเลได้อย่างมีมาตรฐานและเป็นปัจจุบัน สามารถนำไปปรับปรุงการปฏิบัติงานและแผนปฏิบัติงานในการดูแล คุ้มครอง และปกป้องทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในคราวต่อไป

ในปีงบประมาณ พ.ศ.2563 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมีขั้นตอนในการจัดทำระบบลาดตระเวนเชิงคุณภาพทางทะเล (Smart Marine Patrol) ดังนี้
1. ศึกษา วิเคราะห์ ออกแบบรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลการลาดตระเวนพื้นที่ทางทะเลและชายฝั่ง
2. จัดทาระบบ Smart Marine Patrol เพื่อใช้ในการติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์ทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงสามารถรองรับต่อสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที
3. จัดอบรมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้เข้าใจในการทำงานและสามารถปฏิบัติงานตามระบบดังกล่าวที่จะเกิดขึ้น ต่อไป
4. ระบบ Smart Marine Patrol ได้ถูกนำไปทดลองใช้ อย่างน้อย 2 พื้นที่
5. ติดตาม ประเมิน วิเคราะห์ สรุปข้อมูล ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนา และปรับปรุงระบบ ให้พร้อมใช้ครบทุกพื้นที่ภายใน 2565

ภาพรูปทุ่นต่างๆ ทุ่นแสดงแนวเขต ทุ่นจอดเรือ

1. การซ่อมแซมทุ่นจอดเรือหน่วยละ (จุด) รวม 15,000 บาท ได้แก่
- ค่าทุ่นลอยผิวน้าขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 45 ซม. จานวน 1 ลูก 7,000 บาท
- ค่าเชือกสมอ (เชือกใยยักษ์) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 มม. จานวน 1 เส้น 3,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง 5,000 บาท

2. ติดตั้งทุ่นจอดเรือ (เรือขนาดใหญ่) หน่วยละ (จุด) รวม 50,000 บาท ได้แก่
- ค่าทุ่นลอยผิวน้าขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 45 ซม. จำนวน 1 ลูก 7,000 บาท
- ค่าเชือกสมอ (เชือกใยยักษ์) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 มม. จำนวน 1 เส้น 3,000 บาท
- ค่าฐานคอนกรีตขนาด 1x1x1เมตร น้ำหนักไม่น้อยกว่า 2,400 กก. จำนวน 3 แท่ง 30,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง 10,000 บาท

3. ทุ่นแสดงแนวเขตราคาต่อหน่วย (ชุด) ความยาวชุดละ 20 เมตร รวม 11,600 บาท (เมตรละ 580 บาท) ดังนี้
- ค่าทุ่นลอยผิวน้า (ทุ่นไข่ปลา) ความยาว 26 ซม. จานวน 10 ลูก (100 บาท/ลูก) 1,000 บาท
- ค่าเชือกสมอ (เชือกใยยักษ์) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 มม. ความยาว 50 ซม. 20 เส้น 100 บาท
- ค่าเชือกสมอ (เชือกใยยักษ์) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 22 มม. ความยาว 20 เมตร 700 บาท
- ค่าเชือกสมอ (เชือกใยยักษ์) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 26 มม. ความยาว 10 เมตร 2 เส้น 800 บาท
- ค่าฐานคอนกรีตขนาด 50x50x50 ซม. น้ำหนักไม่น้อยกว่า 300 กก. ( 2,500/แท่ง) จำนวน 2 แท่ง 5,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง 4,000 บาท

ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
1. ติดตั้งใหม่ 5 จังหวัด 10 แห่ง 190 จุด
2. ซ่อมแซม 4 จังหวัด 10 แห่ง 130 จุด

ติดตั้งทุ่นจอดเรือ พื้นที่ 5 จังหวัด จำนวน 10 แห่ง รวมจำนวน 190 จุด
1. จังหวัดชุมพร 1 แห่ง ได้แก่ เกาะไข่ จำนวน 15 จุด
2. จังหวัดสุราษฎร์ธานี 3 แห่ง ได้แก่ เกาะเต่า เกาะพะงัน เกาะสมุย จำนวน 75 จุด
3. จังหวัดระนอง 1 แห่ง ได้แก่ เกาะพยาม จำนวน 30 จุด
4. จังหวัดพังงา 2 แห่ง ได้แก่ เกาะไข่นอก เกาะไข่ใน จำนวน 40 จุด
5. จังหวัดภูเก็ต 3 แห่ง ได้แก่ เกาะราชาใหญ่ เกาะราชาน้อย เกาะไม้ท่อน จำนวน 30 จุด

ซ่อมแซมทุ่นจอดเรือ พื้นที่ 4 จังหวัด จานวน 10 แห่ง รวมจำนวน 130 จุด
1. จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 3 แห่ง ได้แก่ เกาะทะลุ เกาะสิงห์ เกาะสังข์ จำนวน 30 จุด
2. จังหวัดสุราษฎร์ธานี 1 แห่ง ได้แก่ เกาะเต่า จำนวน 30 จุด
3. จังหวัดพังงา 3 แห่ง ได้แก่ เกาะไข่นอก เกาะไข่ใน เกาะไข่นุ้ย จำนวน 40 จุด
4. จังหวัดภูเก็ต 3 แห่ง ได้แก่ เกาะราชาใหญ่ เกาะราชาน้อย เกาะไม้ท่อน จำนวน 30 จุด
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 
1. ติดตั้งใหม่ 14 จังหวัด 36 แห่ง 371 จุด 
2. ซ่อมแซม 13 จังหวัด 33 แห่ง 657 จุด

ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
1. ติดตั้งใหม่ 10 จังหวัด 34 แห่ง 245 จุด
2. ซ่อมแซม 14 จังหวัด 56 แห่ง 401 จุด

ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
-ซ่อมแซม 14 จังหวัด 58 แห่ง 576 จุด

พื้นที่ 19 จังหวัด ดังนี้
1. จังหวัดตราด จานวน 80 จุด
2. จังหวัดจันทบุรี จานวน 40 จุด
3. จังหวัดระยอง จานวน 40 จุด
4. จังหวัดชลบุรี จานวน 47 จุด
5. จังหวัดฉะเชิงเทรา จานวน5 จุด
6. จังหวัดสมุทรปราการ จานวน10 จุด
7. จังหวัดสมุทรสาคร จานวน 80 จุด
8. จังหวัดสมุทรสงคราม จานวน 80 จุด
9. จังหวัดประจวบคิรีขันธ์ จานวน189 จุด
10. จังหวัดชุมพร จานวน 16 จุด
11. จังหวัดสุราษฎร์ธานี จานวน 176 จุด
12. จังหวัดนครศรีธรรมราช จานวน 15 จุด
13. จังหวัดปัตตานี จานวน 2 จุด
14. จังหวัดนราธิวาส จานวน 2 จุด
15. จังหวัดระนอง จานวน 105 จุด
16.จังหวัดพังงา จานวน 220 จุด
17. จังหวัดภูเก็ต จานวน 265 จุด
18. จังหวัดกระบี่ จานวน 7 จุด
19. จังหวัดตรัง จานวน 50 จุด
รวม 1,429 จุด

ติดตั้งทุ่นจอดเรือ 5 จังหวัด 10 แห่ง 190 จุด จุดละ 50,000 บาท รวม 9.5000 ลบ.
1. จังหวัดชุมพร 1 แห่ง 15 จุด ได้แก่ เกาะไข่ 15 จุด
2. จังหวัดสุราษฏร์ธานี 3 แห่ง 75 จุด ได้แก่ เกาะสมุย 25 จุด เกาะพะงัน 25 จุด เกาะเต่า 25 จุด
3. จังหวัดระนอง 1 แห่ง 30 จุด ได้แก่ เกาะพยาม 30 จุด
4. จังหวัดพังงา 2 แห่ง 40 จุด ได้แก่ เกาะไข่นอก 20 จุด เกาะไข่ใน 20 จุด
5. จังหวัดภูเก็ต 3 แห่ง 30 จุด ได้แก่ เกาะราชาใหญ่ 10 จุด เกาะราชาน้อย 10 จุด เกาะไม้ท่อน 10 จุด

ซ่อมแซมทุ่นจอดเรือ 4 จังหวัด จำนวน 10 แห่ง 130 จุด จุดละ 15,000 บาท รวม 1.9500 ลบ.
1. จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 3 แห่ง 30 จุด ได้แก่ เกาะทะลุ 15 จุด เกาะสิงห์ 10 จุด เกาะสังข์ 5 จุด
2. จังหวัดสุราษฏร์ธานี 1 แห่ง 30 จุด ได้แก่ เกาะเต่า 30 จุด
3. จังหวัดพังงา 3 แห่ง 40 จุด ได้แก่ เกาะไข่นอก 15 จุด เกาะไข่ใน 15 จุด เกาะไข่นุ้ย 10 จุด
4. จังหวัดภูเก็ต 3 แห่ง 30 จุด ได้แก่ เกาะราชาใหญ่ 10 จุด เกาะราชาน้อย 10 จุด เกาะไม้ท่อน 10 จุด

ซ่อมแซมทุ่นแสดงแนวเขตแหล่งทรัพยากรฯ 7.8300 ลบ.
แหล่งปะการัง 7 จังหวัด 16 แห่ง ความยาวรวม 11,500 เมตร เมตรละ 580 บาท รวม 6.6700 ลบ.
1. จังหวัดระยอง 4 แห่ง 2,000 ม. ได้แก่ เกาะมันใน 500 ม. เกาะมันกลาง 500 ม. เกาะมันนอก 500 ม. อ่าววังแก้ว 500 ม.
2. จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2 แห่ง 1,500 ม. ได้แก่ เกาะเหลื่อม 500 ม. เกาะทะลุ 1,000 ม.
3. จังหวัดสุราษฏร์ธานี 1 แห่ง 1,000 ม. ได้แก่ เกาะเต่า 1,000 ม.
4. จังหวัดระนอง 1 แห่ง 1,000 ม. ได้แก่ เกาะพยาม 1,000 ม.
5. จังหวัดพังงา 2 แห่ง ได้แก่ 2,500 ม. เกาะไข่นอก 1,000 ม. เกาะไข่ใน 1,500 ม.
6. จังหวัดภูเก็ต 4 แห่ง 3,500 ม. ได้แก่ เกาะราชาใหญ่ 1,000 ม. เกาะราชาน้อย 1,000 ม. เกาะไม้ท่อน 1,000 ม. เกาะเฮ 500 ม.
แหล่งหญ้าทะเล 2 จังหวัด 2 แห่ง ความยาวรวม 2,000 เมตร เมตรละ 580 บาท รวม 1.1600 ลบ.
1. จังหวัดพังงา 1 แห่ง ได้แก่ เกาะยาวใหญ่ 1,000 ม.
2. จังหวัดตรัง 1 แห่ง ได้แก่ เกาะลิบง 1,000 ม.

- ทุ่นจอดเรือ หมายถึง ทุ่นที่ใช้ติดตั้งสาหรับจอดเรือท่องเที่ยวเรือประมงและเรือทั่วไป เพื่อป้องกันและลดผลกระทบความเสียหายของแนวปะการังจากการทิ้งสมอเรือในบริเวณแนวปะการัง และจัดระเบียบการจอดเรือในพื้นที่
1. (ฐานสมอ ขนาด 1x1x1 เมตร น้ำหนักไม่น้อยกว่า 2,400 กิโลกรัม)
2. (ทุ่นลอยผิวน้า แบบไฟเบอร์กลาส ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 45 เซ็นติเมตร)

- ทุ่นแสดงแนวเขต หมายถึงทุ่นที่แสดงแนวเขตของแหล่งทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และจัดระเบียบเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ การอนุรักษ์และการฟื้นฟูพื้นที่แหล่งทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เช่น แนวเขตห้ามกิจกรรมหรือการดำเนินกิจกรรม เขตการใช้ประโยชน์ เขตท่องเที่ยว หรือเขตเพื่อการอนุรักษ์ และทรัพยากรอื่นๆ ได้แก่ แนวเขตปะการัง เขตหญ้าทะเล เขตที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะหายาก เป็นต้น
1. (ฐานสมอ ขนาด 0.50x0.50x0.50 เมตร น้าหนักไม่น้อยกว่า 600 กิโลกรัม)
2. (ทุ่นลอยผิวน้า แบบทรงกระบอกทำจาก Polyethylene ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 11.5 เซนติเมตร)

1. ขอความเห็นชอบพื้นที่จัดวางปะการังเทียม กองทัพเรือ
2. ขออนุญาตปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำแม่น้า กรมเจ้าท่า
3. ขอเปลี่ยนแปลงที่จับสัตว์น้า กรมประมง

1. วางแผน จัดทำแผนการดำเนินงาน ดำเนินการเลือกพื้นที่โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่
2. ดำเนินการ สำรวจ ความเหมาะสม กำหนดจุดพื้นที่ที่จะดำเนินการ
3. ดำเนินการติดต่อประสานการดำเนินการเกี่ยวกับการขออนุญาตกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4. ดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อจัดหาวัสดุ และทำการจัดวางปะการังเทียมในพื้นที่เป้าหมาย
5. ดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการ โดยการจัดประชุมและจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและรายงานความก้าวหน้าให้กับประชาชน ชุมชน กลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมและรับทราบการดำเนินโครงการ
6. ติดตามประเมินผล รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการตามที่กาหนดไว้ในแผนเป็นระยะและจัดทารายงานสรุปผลการดำเนินงานเสนอผู้บังคับบัญชา

ปีงบประมาณ 2563 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง มีการจัดทำและวางปะการังเทียม 9 แห่ง 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี พังงา และตรัง
โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
1. เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศแนวปะการังธรรมชาติในพื้นที่เสื่อมโทรม ลดผลกระทบจากการใช้ประโยชน์จากกิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำ ในพื้นที่แนวปะการังธรรมชาติ โดยเพิ่มแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำในพื้นที่จังหวัดชายฝั่งทะเล ป้องกัน และแก้ไขปัญหาการทำลายระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งที่สำคัญจากการลักลอบทำการประมงด้วยเครื่องมือทำลายล้าง
2. เพื่อฟื้นฟูแหล่งทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่เสื่อมโทรมให้กลับคืนความสมบูรณ์ เป็นแหล่งประกอบอาชีพและหารายได้ เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนในพื้นที่ ส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งดำเนินงานการจัดทำและวางปะการังเทียม ตั้งแต่ปี 2547 – 2562 โดยมีจังหวัดที่จัดวางปะการังเทียมแล้ว 18 จังหวัด ได้แก่ ตราด จันทบุรี ระยอง ชลบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล รวมทั้งสิ้น 167,565 แท่ง
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้เตรียมแผนจัดทำและวางปะการังเทียม 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) โดยมีแผนการจัดทำและจัดวางปะการังเทียม ปีละประมาณ 15 แห่ง และในแต่ละปีประมาณ 12,000 แท่ง ซึ่งปะการังเทียม มีการเสื่อมสภาพตามกาลเวลา จึงต้องมีการจัดวางทดแทน และเสริมปะการังเทียมกองเก่า เพื่อเพิ่มแหล่งอาศัยสัตว์ทะเล รวมถึงความต้องการของผู้ใช้ประโยชน์เป็นหลัก ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่ 5 ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2 สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน บนสังคมเศรษฐกิจภาคทะเล
การจัดทำและวางปะการังเทียม ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ดำเนินการในพื้นที่ 9 จังหวัด 15 แห่ง ได้แก่ จังหวัดชลบุรี 2 แห่ง ประจวบคีรีขันธ์ 2 แห่ง ชุมพร 2 แห่ง สุราษฎร์ธานี 2 แห่ง นครศรีธรรมราช 1 แห่ง ปัตตานี 1 แห่ง นราธิวาส 1 แห่ง พังงา 2 แห่ง ตรัง 2 แห่ง จานวนทั้งหมด 13,658 แท่ง งบประมาณทั้งสิ้น 84,022,500 บาท

การดำเนินการเรื่องการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี ยุทธศาสตร์ที่ 5 ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และประเด็นปฏิรูปประเทศ ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ประเด็นปฏิรูปที่ 8 การแบ่งเขตการใช้ประโยชน์จากาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตามแนวคิดการวางแผนเชิงพื้นที่ทางทะเล (Marine Spatial Planning)

การดำเนินการเรื่องการบริหารจัดการเชิงพื้นที่(Marine Spatial Planning) เป็นแนวทางการจัดการแบบองค์รวม (Holistic approach) โดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เป็นเครื่องมือที่ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการจัดการทั้งความขัดแย้งจากการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ทางทะเลโดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนาและการรักษาไว้ซึ่งความสมบูรณ์ของระบบนิเวศอย่างยั่งยืน
ในปีงบประมาณ 2563 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง มีแผนจะดำเนิน ดังนี้
1. การศึกษารวบรวมข้อมูล ประเด็นปัญหาความจำเป็นและขอบเขตอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานเพื่อกำหนดการวางแผนเชิงพื้นที่ให้เหมาะสม
2. ศึกษารวบรวมข้อมูลการใช้ประโยชน์ประมวลและวิเคราะห์สถานการณ์ (ปัจจุบัน, แนวโน้มในอนาคต) และสรุปข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบแผนที่การใช้ประโยชน์ ซึ่งดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทะเลฝั่งอันดามัน จำนวน 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดระนอง จังหวัดพังงา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดกระบี่ จังหวัดตรัง และจังหวัดสตูล

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมีเป้าหมายในการเสนอพื้นที่คุ้มครองทางทะเล ตามมาตรา 20 และมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งสิ้น จานวน 35 พื้นที่ โดยแต่ละพื้นที่ใช้เวลาดำเนินการพื้นที่ละ 3 ปี พื้นที่ที่เริ่มดำเนินการปี 63 จานวน 5 พื้นที่ ได้แก่
1) กลุ่มเกาะกูด จังหวัดตราด เนื่องด้วยในพื้นที่มีแหล่งทรัพยากรทางทะเลอุดมสมบูรณ์ และมีศักยภาพสูงในการพัฒนาเป็นแหล่งเที่ยว
2) กลุ่มเกาะล้านจังหวัดชลบุรี เนื่องด้วยในพื้นที่มีแหล่งทรัพยากรทางทะเลอุดมสมบูรณ์ และมีศักยภาพสูงในการพัฒนาเป็นแหล่งเที่ยว
3) เกาะทะลุ สมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีปะการังและแหล่งหญ้าทะเลที่มีความอุดมสมบูรณ์ อยู่ใกล้ชิดแหล่งชุมชน และเป็นพื้นที่มีศักยภาพรองรับการท่องเที่ยวทางทะเล
4) กลุ่มเกาะกง พะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีปะการังที่มีความอุดมสมบูรณ์ อยู่ใกล้ชิดแหล่งชุมชน และเป็นพื้นที่มีศักยภาพรองรับการท่องเที่ยวทางทะเล
5) เกาะพิทักษ์ จังหวัดชุมพร มีปะการังที่มีความอุดมสมบูรณ์ ชุมชนในพื้นที่มีความเข้มแข็งในการอนุรักษ์ และมีการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

ณ ปัจจุบัน พื้นที่คุ้มครองทางทะเลที่กรมเสนอ ภายใต้มาตรา 20 แห่ง พ.ร.บ.ทช. 58 มี 1 แห่ง คือ หมู่เกาะกระ จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยผ่านความเห็นของคณะรัฐมนตรีแล้ว ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการเสนอร่างกฎกระทรวงต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งหมู่เกาะกระมีความสาคัญ คือ เป็นพื้นที่ที่มีสภาพธรรมชาติสมบูรณ์  มีพื้นที่แนวปะการังมากถึง 412 ไร่ และเป็นแหล่งวางไข่เต่าทะเลชนิด พันธุ์ที่อยู่ในสถานภาพใกล้สูญพันธุ์  และเป็นที่อยู่อาศัยของชนิดพันธุ์ใกล้สูญ พันธุ์หลายชนิด  ปัจจุบันหมู่เกาะกระ ยังมีสภาพธรรมชาติที่สมบูรณ์อยู่แต่เริ่ม มีภัยคุกคามจากการประมงและการท่องเที่ยวทำให้มีแนวโน้มที่สภาพธรรมชาติจะเสื่อมโทรมลง แม้จะมีการประกาศขึ้นทะเบียนหมู่เกาะกระเป็นพื้นที่ชุ่มน้้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ แต่ก็ยังไม่มีการบริหารจัดการและกฎหมายที่คุ้มครองดูแลที่มีประสิทธิภาพจึงมีความจาเป็นต้องดำเนินการประกาศพื้นที่คุ้มครองทางทะเล เพื่อสงวนไว้ซึ่งสภาพธรรมชาติเดิมให้เป็นแหล่ง พันธุ์ของปะการังและสัตว์ทะเลหายากใกล้สูญพันธุ์ในฝั่ง อ่าวไทยและเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน

การดำเนินงานภายใต้ พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 มาตรา 20 และมาตรา 22 มีความแตกต่างกันอย่างไร
คำชี้แจง พื้นที่ที่จะดำเนินการโดยอาศัยมาตรา 20 เป็นการออกกฎกระทรวงกำหนดให้เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเล ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้
(1) พื้นที่ที่มีทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์อันสมควรสงวนไว้ให้คงอยู่ ในสภาพทางธรรมชาติเดิม
(2) พื้นที่ที่เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์และพืชตามสภาพทางธรรมชาติที่สมบูรณ์
(3) พื้นที่ที่มีความสำคัญด้านระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งอันควรแก่การอนุรักษ์ พื้นที่ที่กำหนดให้เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตามวรรคหนึ่งต้องเป็นพื้นที่ ที่มิได้อยู่ในเขตอนุรักษ์ หรือเขตที่ได้รับอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำตามกฎหมาย ว่าด้วยการประมง
ทั้งนี้เขตอนุรักษ์ ได้แก่ เขตอุทยานแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ปุาและเขตห้ามล่าสัตว์ป่าตามกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า เขตป่าสงวนแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ เขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามกฎหมาย ว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่รักษาพืชพันธุ์ตามกฎหมายว่าด้วยการประมง และเขตพื้นที่คุ้มครองอย่างอื่นเพื่อสงวนและรักษาสภาพธรรมชาติตามที่มีกฎหมายกำหนด
ส่วนการประกาศมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตามมาตรา 23 โดยอาศัยอานาจตามมาตรา 22 ใช้ในกรณีที่ปรากฏว่าทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอาจถูกทำลายหรือได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงเข้าขั้นวิกฤติ หรือเป็นกรณีที่คณะกรรมการเห็นว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง สงวน คุ้มครอง หรืออนุรักษ์ไว้เพื่อประโยชน์หรือสร้างความสมบูรณ์ของระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งกรณีการออกประกาศกระทรวงไม่มีข้อกำหนดห้ามพื้นที่ที่จะประกาศ

ปฏิบัติงานตรวจตรา เฝ้าระวัง คุ้มครองป้องกันและปราบปรามการทำการประมงผิดกฎหมายพื้นที่ปฏิบัติงานครอบคลุม 24 จังหวัดชายฝั่งทะเล โดยกองอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่งร่วมกับสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1-7 ออกปฏิบัติงานรวม 84 ครั้ง (ประจำทุกเดือน ครั้งละประมาณ 10 วัน) - ค่าเบี้ยเลี้ยง 240 *7 วัน *12คน = 20,160 บาท - ค่ารถโดยสาร 200 บาท * 12คน = 2,400 บาท - ค่าน้ามันเรือ 113,840 บาท * 1ครั้ง = 113,840 บาท รวมค่าใช้จ่ายครั้งละ 136,400 บาท รวม 84 ครั้ง = 11,457,600 บาท

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในฐานะหน่วยงานหลักของศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจในการควบคุม ตรวจสอบ และเฝ้าระวังการทำการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) โดยเจ้าหน้าที่ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้รับมอบอำนาจเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามคาสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 17/2559 เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ลงวันที่ 8 มกราคม 2559 โดยมอบหมาย กองอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล และสานักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1-7 จึงได้จัดทำโครงการ ควบคุม ตรวจสอบ และเฝ้าระวังการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing)
ผลการดำเนินงาน กรมจัดเรือทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งออกปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2560 จนถึงปัจจุบัน (กรกฎาคม 2562) เพื่อควบคุม ป้องกันและปราบปรามการทำการประมงผิดกฎหมายและบุกรุกทำลายแหล่งทรัพยากรทางทะเล ไม่ให้เรือประมงเข้ามาลักลอบทำการประมงและทำลายทรัพยากรทางทะเล ตามที่กฎหมายกำหนดทั้ง พ.ร.บ. ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งพ.ศ. 2558 พ.ร.ก. การประมง พ.ศ. 2558 และพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 พร้อมทั้งมีการลาดตระเวน ประสานการปฏิบัติงานร่วมกับศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) และกลุ่มเครือข่ายอนุรักษ์ต่างๆ
ผลการดำเนินงานปี 2562 ที่ผ่านมา ออกตรวจลาดตะเวน –iuu จานวน 94 ครั้ง –ศปมผ.131 ครั้ง 1.ตรวจสอบเรือประมง 2,895 ลา 2.ตรวจสอบแรงงานประมง 36,038 คน 3.ผลการจับกุม 53 คดี 4.จำนวนผู้ต้องหา 35 คน

คำชี้แจง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการป้องกัน คุ้มครองดูแลรักษาทรัพยากรรวมทั้งระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งประกอบด้วยพื้นที่ชายฝั่งครอบคลุม 24 จังหวัดชายฝั่งทะเล 117 อำเภอ 549 ตำบล เนื้อที่ประมาณ 17.24 ล้านไร่ โดยมีทรัพยากร แนวปะการัง เนื้อที่ 148,955 ไร่ หญ้าทะเล 159,829 ไร่ และสัตว์ทะเลหายาก 33 ชนิด (วาฬ/โลมา 27 ชนิด พะยูน 1 ชนิด เต่า 5 ชนิด) โดยที่พื้นที่ชายฝั่งและทะเลมีศักยภาพสูงทั้งด้านเศรษฐกิจสังคมและความมั่นคง จึงมีกิจกรรมการใช้ประโยชน์หลากหลาย มีกฎหมายที่ได้รับมอบอานาจประกอบด้วย
(1) พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 (2) พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558
(3) พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 และ (4) พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 เป็นต้น ซึ่งมีงานที่ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
1. การตรวจตรา ลาดตระเวน และเฝ้าระวังเพื่อคุ้มครองพื้นที่และทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
2. การป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมาย กฎ ประกาศและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
3. การบูรณาการและฝึกซ้อมการปฏิบัติการร่วมทางทะเลกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
4. การดำเนินการด้านคดีและบังคับใช้กฎหมาย
5. การติดตามและรายงานแผน/ผลการดำเนินงานด้านคุ้มครองและปราบปรามการบุกรุกทำลายระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
ในปีงบประมาณ 2563 มีแผนออกปฏิบัติงานตรวจตรา เฝ้าระวัง คุ้มครองป้องกัน ดูแลรักษาทรัพยากรรวมทั้งระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งพื้นที่ปฏิบัติงานครอบคลุม 24 จังหวัดชายฝั่งทะเล โดยสานักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1-7 ออกปฏิบัติงานรวม 80 ครั้ง (ประจำทุกเดือน )

จำนวนเรื่องตามบทบัญญัติของพ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 ที่ดำเนินการ 49 เรื่องประกอบด้วย
1.จัดทำรายงานสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่ง ระดับประเทศ 1 เรื่อง
2.จัดทำรายงำนสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่ง จังหวัด 24 เรื่อง
3.จัดทำนโยบายและแผนทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่ง จังหวัด 24 เรื่อง

งบประมาณภายใต้ขับเคลื่อนการดำเนินงานตามพ.ร.บ.ทช 58 จำนวน 3.1529 บาท จัดทำโครงการอะไรบ้าง

ตาม พรบ. ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 ตามมาตรา 5 ได้กำหนดให้มี "คณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ " โดยมีนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ รมว.ทส. เป็นรองประธานกรรมการ ผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ จำนวน 16 คน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 12 คน และ อธิบดี ทช. เป็น กรรมการและเลขานุการ รวมทั้งสิ้น 31 คน

ในปี 2563 มีแผนจัดประชุม จำนวน 4 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 514,400 บาท
- ค่าเบี้ยประชุม คกก. จำนวน 31 คน คนละ 1600 บาท รวม 198,400 บาท
- ค่าอาหาร/อาหารว่างและเครื่องดื่ม/ รวม 76,000 บาท
- ค่าพาหนะในการเดินทางของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รวม 240,000 บาท

คณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทำงทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จำนวน 5 ชุด ประกอบด้วย
1) คณะอนุกรรมการด้านบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล
2) คณะอนุกรรมการด้านบริหารจัดการทรัพยากรป่าชายเลนและป่าชายหาด
3) คณะอนุกรรมการบูรณาการด้านการจัดการกัดเซาะชายฝั่งทะเล
4) คณะอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่พระราชนิเวศน์มฤคทำยวัน
5) คณะอนุกรรมการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล
ในปี 2563 มีแผนจัดประชุม จำนวน 4 ครั้ง (5) ชุด รวมทั้งสิ้น 2,003,600 บาท
- ค่าเบี้ยประชุมคณะอนุกรรมการ จำนวน 30 คน คนละ 1000 บาท รวม 613,600 บาท
- ค่าอาหาร/อาหารว่างและเครื่องดื่ม/ รวม 190,000 บาท
- ค่าพาหนะในการเดินทางของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รวม 1,200,000 บาท

ตาม พรบ. ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 ตามมาตรา 12 ได้กำหนดให้มี “คณะกรรมการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจังหวัด” โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ จำนวน 9 คน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 8 คน และ อธิบดี ทช. เป็นกรรมการและเลขานุการ รวมทั้งสิ้น 19 คน
ในปี 2563 มีแผนจัดประชุม 24 จังหวัด จังหวัด 2 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 1,886,400 บาท
- ค่าเบี้ยประชุม คกก.จ. จำนวน 19 คน คนละ 1600 บาท รวม 1,459,200 บาท
- ค่าอาหาร/อาหารว่างและเครื่องดื่ม/ รวม 273,600 บาท
- ค่าพาหนะในการเดินทำงของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รวม 153,600 บาท

คณะกรรมการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจังหวัด ทั้ง 24 จังหวัด ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ รวมทั้งสิ้น จำนวน 24 ชุด ประกอบด้วย
ในปี 2563 มีแผนจัดประชุมคณะอนุกรรมการ จำนวน 3 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 1,836,000 บาท
- ค่าเบี้ยประชุมคณะอนุกรรมการ จำนวน 15 คน คนละ 1000 บาท รวม 1,080,000 บาท
- ค่าอาหาร/อาหารว่างและเครื่องดื่ม/ รวม 410,400 บาท
- ค่าพาหนะในการเดินทางของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รวม 345,600 บำท

ตามมาตรา 13 (1) กำหนดให้จัดทำและเสนอนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจังหวัดต่อคณะกรรมการ เพื่อกำหนดไว้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชำติ

ตามมาตรา 9 (7) กำหนดให้เสนอรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและ ชายฝั่งของประเทศต่อคณะรัฐมนตรี อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง

ตามมาตรา 13 (7) กำหนดให้เสนอรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของจังหวัดต่อคณะกรรมการ อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง

1. จัดทำข้อมูลทางวิชาการเพื่อรองรับการดำเนินงานตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทำงทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558
2. ติดตามความเสียหายอย่างร้ายแรงของทรัพยากรในสถานการณ์ทำงทะเลและชายฝั่งกรณีฉุกเฉินตาม พ.ร.บ. ทช. พ.ศ. 2558 (มาตรา 17)
3.ข้อมูลทางวิชาการเพื่อสนับสนุนการจัดทำข้อเสนอพื้นที่คุ้มครองทำงทะเลและชายฝั่ง เพื่อการประกาศเขตพื้นที่คุ้มครองตาม พ.ร.บ. ทช. พ.ศ. 2558 (มาตรา 20)

โครงการติดตาม รวบรวมผลกำรปฏิบัติงานของหน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ.2558

เงินตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ 1,182,400 บาท ประกอบด้วย 3 กิจกรรม ดังนี้
          1. โครงกำรจัดทำ/ทบทวนนโยบำยและแผนกำรบริหำรจัดกำรทรัพยำกรทำงทะเลและชำยฝั่งจังหวัด 24 จังหวัด เป็นค่ำตอบแทนในกำรปฏิบัติงำนนอกเวลำและปฏิบัติงำนในวันหยุดรำชกำร จำนวน 180,000 บำท
          2. โครงกำรจัดทำข้อมูลทำงวิชำกำรเพื่อรองรับกำรดำเนินงำนตำม พระรำชบัญญัติส่งเสริมกำรบริหำรจัดกำรทรัพยำกรทำงทะเลและชำยฝั่ง พ.ศ. 2558 เป็นค่ำตอบแทนในกำรปฏิบัติงำนนอกเวลำและปฏิบัติงำนในวันหยุดรำชกำร จำนวน 302,400 บำท
          3. โครงกำรติดตำมรวบรวมผลกำรปฏิบัติงำนของหน่วยงำนตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรบังคับใช้กฎหมำยเกี่ยวกับกำรบริหำรจัดกำรทรัพยำกรทำงทะเลและชำยฝั่ง พ.ศ. 2558 เป็นค่ำตอบแทนในกำรปฏิบัติงำนนอกเวลำและปฏิบัติงำนในวันหยุดรำชกำร จำนวน 700,000 บำท

ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พักและค่าพาหนะ จานวน 5,403,200 บาท ใช้ใน 3 กิจกรรมประกอบด้วย
          1. โครงการจัดทา/ทบทวนนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจังหวัด 24 จังหวัด เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นในการจัดทา/ทบทวนนโยบายและแผนฯ 24 จังหวัดๆละ 122,308 บาท รวม 2,935,400 บาท
          2. โครงการจัดทารายงานสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่งของจังหวัด 24 จังหวัด เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นในการจัดทารายงานสถานการณ์ฯ 24 จังหวัดๆละ 98,725 บาท รวม 2,369,400 บาท
          3. โครงการจัดทาข้อมูลทางวิชาการเพื่อรองรับการดาเนินงานตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 เป็นค่าใช้จ่ายในงานตรวจสอบข้อมูล ค่าเบี้ยเลี้ยง 480 บาทต่อคน จานวน 4 คน 20 ครั้ง เป็นเงิน 38,400 บาท และค่าที่พัก คืนละ 750 บาทต่อคน จานวน 4 คืน จานวน 20 ครั้ง เป็นเงิน 60,000 บาท รวม 98,400 บาท

ค่าซ่อมแซมยานพาหนะและขนส่ง 378,200 บาท ประกอบด้วย 1 กิจกรรม ดังนี้
          1. โครงการจัดทาข้อมูลทางวิชาการเพื่อรองรับการดาเนินงานตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 เป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมพาหนะ จานวน 5 หน่วยปฏิบัติๆละ 75,640 บาท รวม 378,200 บาท
ค่าซ่อมแซมครุภัณฑ์ 1,020,000 บาท ประกอบด้วย 2 กิจกรรม ดังนี้
          1. โครงการจัดทารายงานสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่งของจังหวัด 24 จังหวัด เป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมคอมฯ เครื่องพิมพ์ เครื่องละ 3,076บาท X 10 เครื่อง X 24 จังหวัด
          2. โครงการจัดทาข้อมูลทางวิชาการเพื่อรองรับการดาเนินงานตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 เป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมพาหนะ จานวน 5 หน่วยปฏิบัติๆละ 75,640 บาท รวม 378,200 บาท
ค่าเช่าทรัพย์สิน 900,000 บาท ประกอบด้วย 1 กิจกรรม ดังนี้
          1. โครงการจัดทาข้อมูลทางวิชาการเพื่อรองรับการดาเนินงานตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 เป็นค่าใช้จ่ายในการเช่าเรือเร็วปฏิบัติงานศึกษาพื้นที่ 1 ลาๆ 30,000 บาท/ครั้ง จานวน4 ครั้ง จานวน 5 หน่วย เป็นเงิน 600,000 บาท และค่าเช่าเรือหางยาว 1 ลาๆ ละ 3,000 จานวน 20 ครั้ง จานวน 5 หน่วยปฏิบัติ เป็นเงิน 300,000 บาท รวมเป็นเงิน 900,000 บาท

ค่าจ้างเหมาบริการ 1,604,000 บาท ประกอบด้วย 3 กิจกรรม ดังนี้
          1. โครงการจัดทา/ทบทวนนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจังหวัด 24 จังหวัด เป็นค่าจ้างเหมาในการสารวจและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจัดทา/ทบทวนนโยบายและแผนทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่งจังหวัด และค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานนอกพื้นที่ 24 จังหวัดๆละ 30891 บาท รวมเป็นเงิน741,400 บาท
          2. โครงการจัดทารายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศ เป็นค่าจ้างเหมาในการจัดทารายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศ รวมเป็นเงิน 502,600 บาท
          3. โครงการจัดทารายงานสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่งของจังหวัด 24 จังหวัด เป็นค่าจ้างเหมาในการจัดทารายงานสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่งของจังหวัด 24 จังหวัดๆ 15,000 บาท รวมเป็นเงิน 360,000 บาท

วัสดุสานักงาน 1,800,000 บาท ประกอบด้วย 4 กิจกรรม ดังนี้
1. จัดทำ/ทบทวนนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจังหวัด 24 จังหวัด เป็นค่าวัสดุ เดือนละ 66,800 บาท จานวน 12 เดือน รวมเป็นเงิน 801,600 บาท
2. จัดทารายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศ เป็นค่าวัสดุ เดือนละ 9000 บาท จานวน 12 เดือน รวมเป็นเงิน 108,000 บาท
3. จัดทารายงานสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่งของจังหวัด 24 จังหวัด เป็นค่าวัสดุ 24 จังหวัดๆละ 2,010 จานวน 12 เดือน รวมเป็นเงิน 578,800 บาท
4. โครงการจัดทาข้อมูลทางวิชาการเพื่อรองรับการดาเนินงานตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 เป็นค่าวัสดุ 5 หน่วยปฏิบัติ หน่วยๆ ละ 62,320 บาท รวมเป็นเงิน 311,600 บาท

วัสดุเชื้อเพลิงและหล่อลื่น 1,769,400 บาท ประกอบด้วย 4 กิจกรรม ดังนี้
1.จัดทำ/ทบทวนนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจังหวัด 24 จังหวัด เป็นค่าวัสดุเชื้อเพลิงและหล่อลื่น ครั้งละ 30,000 บาท จานวน 10 ครั้ง รวมเป็นเงิน 300,000 บาท
2.จัดทารายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศ เป็นค่าวัสดุเชื้อเพลิงและหล่อลื่นครั้งละ 26,940 บาท จานวน 10 ครั้ง รวมเป็นเงิน 269,400 บาท
3.จัดทารายงานสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่งของจังหวัด 24 จังหวัด เป็นค่าวัสดุเชื้อเพลิงและหล่อลื่น 24 จังหวัดๆ ละ 3,500 บาท จานวน 10 ครั้ง รวมเป็นเงิน 840,000 บาท
4.เชื้อเพลิงและหล่อลื่นโครงการจัดทาข้อมูลทางวิชาการเพื่อรองรับการดาเนินงานตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 เป็นค่าวัสดุเชื้อเพลิงและหล่อลื่นน้ามันรถยนต์ 10,000 บาท/คัน/เดือน จานวน 6 คัน ๆ ละ 6 เดือน รวมเป็นเงิน 360,000 บาท

วัสดุสนามเละการฝึก 280,000 บาท ประกอบด้วย 1 กิจกรรม ดังนี้
          1. โครงการจัดทาข้อมูลทางวิชาการเพื่อรองรับการดาเนินงานตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 เป็นค่าใช้จ่าย 5หน่วยปฏิบัติ หน่วยๆละ 56,000 บาท รวมเป็นนเงิน 280,000 บาท
วัสดุหนังสือ วารสาร และตารา 500,000 ประกอบด้วย 2 กิจกรรม ดังนี้
          1. จัดประชุมและติดตามงานของคณะกรรมการฯ ชาติและอนุกรรมการฯชาติ/คณะกรรมการฯจังหวัดและอนุกรรมการฯ จังหวัด ตาม พรบ.ทช. 2558 จานวน 4 ครั้ง ครั้งๆละ12,600 บาท รวมเป็นเงิน 50,400 บาท
          2. โครงการจัดทาข้อมูลทางวิชาการเพื่อรองรับการดาเนินงานตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 หน่วยปฏิบัติ 5 หน่วยๆละ 89,920 บาท รวมเป็นเงิน449,600 บาท
วัสดุสารวจ 350,000 บาท ประกอบด้วย 1 กิจกรรม ดังนี้
          1. โครงการจัดทาข้อมูลทางวิชาการเพื่อรองรับการดาเนินงานตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 5 หน่วยปฏิบัติ หน่วยๆละ 70,000 บาท รวมเป็นเงิน 350,000 บาท

วัสดุคอมพิวเตอร์ 1,056,000 บาท ประกอบด้วย 1 กิจกรรม ดังนี้
1.จัดทำ/ทบทวนนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจังหวัด 24 จังหวัด เป็นค่าวัสดุคอมพิวเตอร์ เดือนละ 30,000 จานวน 12 เดือน รวมเป็นเงิน 360,000 บาท
2.จัดทำรายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศ เป็นค่าวัสดุคอมพิวเตอร์ เดือนละ 10,000 จานวน 12 เดือน รวมเป็นเงิน 120,000 บาท
3.จัดทำรายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่งของจังหวัด 24 จังหวัด เป็นค่าวัสดุคอมพิวเตอร์ เดือนละ 1,000 จานวน 12 เดือน 24 จังหวัด รวมเป็นเงิน 288,000 บาท
4.เชื้อเพลิงและหล่อลื่นโครงการจัดทาข้อมูลทางวิชาการเพื่อรองรับการดาเนินงานตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 เป็นค่าวัสดุคอมพิวเตอร์ 6 หน่วยปฏิบัติ หน่วยๆละ 48,000 บาท รวมเป็นเงิน 288,000 บาท

ปริมาณขยะทั้งประเทศ 27.8 ล้านตัน/ปี
(คิดเป็น 76,164 ตัน/วัน)

ต้นทาง
- ใช้หลักการ 3 R ในทุกๆ แหล่ง กำเนิดขยะ (ครัวเรือน ชุมชน สถานประกอบการ ฯลฯ) เพื่อนาไปสู่เป้า หมาย ศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy )
- รัฐ & เอกชน กาหนดเป้าหมายร่วมในการลดขยะพลาสติก ในทะเล ให้ได้อย่างน้อย 50 % ภายในปี 2570 รวมทั้งสามารถรีไซเคิ้ลขยะพลาสติกได้ 100 % ภายในปี 2573
- เลิกใช้ผลิตภัณฑ์ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง (single-use plastic) ภายในปี 2562 เช่น cap seal , plastic micro - bead , oxo -degradable plastic , ถุงช้อปปิ้งพลาสติกและภายในปี 2565 เช่น บรรจุภัณฑ์กล่องโฟมถ้วยพลาสติก หลอดพลาสติก

กลางทาง
- เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการขยะชุมชนอย่างครบวงจร ตั้งแต่การคัดแยก การรวบรวม การขนย้าย การกำจัด
- ความร่วมมือ Thailand Public Private Partnership Plastic)

ปลายทาง
- โครงการเก็บขยะชายหาด อาสาสมัครดำน้ำเก็บขยะตามแนวปะการัง
- โครงการชายหาดปลอดบุหรี่และปลอดขยะ 24 หาด
- โครงการบูมดักขยะบริเวณปากแม่น้ำสายหลัก ลำคลอง ต่างๆ ทั่วประเทศ
- เรือเก็บขยะ

ปัญหาขยะถูกจัดเป็นวาระของประเทศ รัฐบาลได้ให้ความสาคัญและกำหนดให้ปัญหาขยะเป็นวาระแห่งชาติ จึงมีแผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ (พ.ศ. 2559–2564) และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) ซึ่งเป็นแผนหลักในการบริหารจัดการขยะบกรวมถึงขยะทะเล รวมทั้ง Roadmap การจัดการขยะพลาสติก (พ.ศ. 2561–2573) โดย ทส. ได้ดำเนินการขับเคลื่อนแผนแม่บทต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอร่าง Roadmap การจัดการพลาสติก พ.ศ. 2561-2573 ให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2561 สรุปเป้าหมายหลักเพื่อลดและเลิกการใช้พลาสติก รวมถึงการนาขยะพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ ดังนี้
ปี 2562 จะเลิกใช้พลาสติก 3 ประเภท ได้แก่ 1) พลาสติกหุ้มฝาขวดน้าดื่ม 2) ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่มีส่วนผสมของสารประเภทอ็อกโซ่ (Oxo) และ 3) ไมโครบีดจากพลาสติก (Microbead)
ปี 2565 จะเลิกใช้พลาสติก 4 ประเภท โดยเฉพาะพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียว (Single use Plastic) ได้แก่ 1) ถุงพลาสติกหูหิ้ว 2) กล่องโฟมบรรจุอาหาร 3) แก้วพลาสติก (แบบบางใช้ครั้งเดียว) 4) หลอดพลาสติก
ปี 2570 มีเป้าหมายนาขยะผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์พลาสติก กลับเข้ามาใช้ประโยชน์ทั้ง 100%

รายละเอียด 300 ตัน ประกอบด้วย (ตัวชี้วัด)
1. การจัดเก็บขยะทะเลที่ตกค้างในระบบนิเวศที่สาคัญแบบมีส่วนร่วม 29 ตัน และการบริหารจัดการขยะ ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 19 ตัน รวมเป็น 48 ตัน/ปี
2. การดำนินมาตรการลดประมาณขยะทะเลในพื้นที่เป้าหมาย 7 มาตรการ/เรื่อง 240 ตัน/ปี
     2.1 มาตรการชุมชนชายฝั่ง
     2.2 มาตรการชุมชนประมง
     2.3 มาตรการท่องเที่ยวชายหาด
     2.4 มาตรการท่องเที่ยวทางเรือ
     2.5 มาตรการท่องเที่ยวดำน้ำ
     2.6 มาตรการประมงพื้นบ้าน
     2.7 มาตรการประมงพาณิชย์
3. การดาเนินการอื่นๆในพื้นที่อนุรักษ์ ตาม พรบ ทช. 2558 เช่น การดาเนินโครงการชายหาดปลอดบุหรี่ เป็นต้น ลดขยะทะเลได้ 12 ตัน/ปี

1. งานสำรวจประเมินและวิเคราะห์ข้อมูลขยะทะเล 5 เรื่อง
1) สำรวจชนิดและปริมาณขยะบริเวณปากแม่น้ำที่ไหลลงสู่ทะเล
2) ศึกษาผลกระทบขยะทะเลต่อระบบนิเวศปะการัง
- ขยะจากการประมงร้อยละ 50 - ขยะในกิจกรรมชายฝั่งและนันทนาการร้อยละ 32
3) ศึกษาผลกระทบขยะทะเลต่อระบบนิเวศชายหาด โดยการศึกษาการเจริญเติบโต องค์ประกอบเลือด การเปลี่ยนแปลงทางเนื้อเยื่อวิทยา การติดเชื้อปรสิตและเชื้อแบคทีเรียของปูลม สรุปโดยรวมคือสรีระวิทยาของสัตว์พวกครัสตาเซียน มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากมีความเครียดเพิ่มขึ้น
4) ศึกษาผลกระทบขยะทะเลต่อสัตว์ทะเลหายาก จากการเกยตื้นของสัตว์ทะเลหายากทั้งหมด 839 ตัวพบจานวนสัตว์ทะเลหายากที่ได้รับผลกระทบจากขยะทั้งหมด 207 ตัว (25%)
5) การศึกษาวิจัยไมโครพลาสติก

“การจัดการประชุมระดับอาเซียน” ดำเนินการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษด้านขยะทะเล (SAMM-MD) เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2562 ณ โรงแรมสุโขทัย กรุงเทพมหานคร ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ไทยได้ชูวาระการแก้ปัญหาขยะทะเลผ่านปฏิญญากรุงเทพว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน และกรอบปฏิบัติงานอาเซียนว่าด้วยขยะทะเล ซึ่งได้มีการลงนามร่วมกันโดยสาระสำคัญในกรอบความร่วมมือ ได้แก่

1. ปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน (The Bangkok Declaration on Combating Marine Debris in ASEAN Region) เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการมุ่งมั่นที่จะบริหารจัดการเพื่อแก้ปัญหาขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน

2. กรอบปฏิบัติการอาเซียนด้านขยะทะเล (ASEAN Framework of Action on Marine Debris) เป็นกรอบแนวทางสาหรับปฏิบัติร่วมกันในการที่จะช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์ทั้งด้านต่างๆเพื่อการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการพัฒนาแผนปฏิบัติงานในระดับภูมิภาคประกอบด้วย 1) การสนับสนุนนโยบายและการวางแผน 2) การวิจัยนวัตกรรมและการเสริมสร้างสมรรถนะ 3) การตระหนักรู้ของสาธารณะการศึกษาและกิจกรรมเชิงรุก 4) การมีส่วนร่วมของภาคเอกชน โดยจะได้มีการหารือแนวทางปฏิบัติต่อไป

1) สำรวจประเมิน ขยะทะเล จัดทำฐานข้อมูลขยะทะเล 5 เรื่อง (1) ขยะปากแม่น้ำ (2) ผลกระทบของขยะทะเลต่อชายหาด (3) ปะการัง (4) สัตว์ทะเลหายาก (5) วิจัยไมโครพลาสติก 
2) เก็บขยะทะเลในระบบนิเวศสำคัญ พื้นที่เป้าหมาย 48 พื้นที่ (24 จังหวัด)
3) ใช้มาตรการจัดการขยะทะเล 7 มาตรการ ตามหลักวิชาการในการลดปริมาณขยะ ได้แก่ ขยะใน (1) ชุมชนชายฝั่ง (2) ชุมชนประมง (3) ท่องเที่ยวชายหาด (4) ท่องเที่ยวทางเรือ (5) ท่องเที่ยวดำน้ำ (6) ประมงพื้นบ้าน (7) ประมงพาณิชย์ โดยนำไปปฏิบัติในพื้นที่เป้าหมาย 10 พื้นที่ ในจังหวัดระยองสมุทรปราการ เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี สงขลา ปัตตานี พังงา ภูเก็ต และตรัง โดยในปีงบประมาณ 2562 สามารถลดปริมาณขยะทะเลได้ประมาณ 647 ตัน/ปี
4) เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน โดยจัดหาเรือเก็บขยะ 2 ลำ และทุ่นกักขยะ ยาว 100 เมตร 10 ชุด และครุภัณฑ์วิทยาศาสตร์ (กล้องจุลทรรศน์, เตาอบ, เครื่องชั่งแบบละเอียด)

ในปีงบประมาณ 2562 กรม ทช. ติดตั้งทุ่นดักขยะ รวม 24 จุด ใน 11 จังหวัดชายทะเล ได้แก่ จังหวัดระยอง ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี สงขลา ปัตตานี พังงา ภูเก็ต สตูล โดยดาเนินการร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น และเครือข่าย อสทล. ในพื้นที่

ตั้งแต่ดาเนินโครงการมา 5 เดือน (พฤษภาคม-กันยายน 2562) สามารถรวบรวมขยะจาก boom ได้ทั้ง สิ้นคิดเป็น 20.67 ตัน ขยะส่วนใหญ่เป็นประเภท 1. ถุงก๊อปแก๊ป (ถุงหูหิ้ว) 2.ถุงขนมห่ออาหาร 3.ขวดเครื่องดื่ม (พลาสติก-แก้ว) 4.เศษโฟม

งบประมาณที่ตั้งขอในปี 2563 รวมทั้งสิ้น 3,585,000 บาท (ยาว 100 เมตร จานวน 10 ชุด)

จำนวน 24 จุด (11 จังหวัด)

แผนการดาเนินงานเรื่อง Boom ดักขยะ ในปี 2563

ตามที่ ในปี 2562 กรม ทช. (โดย สบทช 1-10) ทำการออกสำรวจวิเคราะห์ข้อมูลลำน้าและแม่น้ำประเทศไทยที่พบปัญหาขยะในลำน้า

พบว่ามีแม่ลำคลองจำนวนกว่า 467 แห่ง ที่พบปัญหาขยะในลำน้้ำ ปี 2563 ทช. จึงมีแผนที่จะดำเนินการวางทุ่นดักขยะเพิ่มเติมในแม่น้ำลำคลองดังกล่าว ในพื้นที่ 23 จังหวัดชายทะเล โดยดำเนินการร่วมกับท้องถิ่น และเครือข่ายอาสาสมัคร อสทล.

ทช. ร่วมกับมหาวิทยาลัย ดำเนินการศึกษาการปนเปื้อน Microplastic ตั้งแต่ปี 2557 หน่วยงาน ทช. เริ่มดำเนินการศึกษาการปนเปื้อน microplastic เมื่อปี 2561 ในดินตะกอนชายหาด พื้นที่ 18 จังหวัดชายทะเล (ตราด จันทบุรี ระยอง ชลบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล) พบ Microplastic สูงสุดสามลำดับแรก ที่หาดทรายรี ชุมพร (1,190 ชิ้น/ตรม.) อ่าวมะนาว ประจวบคีรีขันธ์ 1,185 ชิ้น/ตร.ม. และเกาะมันใน ระยอง (1,098 ชิ้น/ตร.ม) และพบต่ำสุดที่ หาดปึกเตียน เพชรบุรี 41 ชิ้น/ตร.ม.

ในปี 2562 เริ่มดาเนินการในสัตว์น้า (หอยแมลงภู่) จานวน 5 พื้นที่ (หอยเสียบ) 1 พื้นที่ รวมทั้งได้เริ่มศึกษาการปนเปื้อนในน้าทะเล ซึ่งอยู่ระหว่างการวิเคราะห์ยืนยันว่าเป็น Microplastic ด้วยเครื่อง FT-IR

แผนปี 2563 ทำการศึกษาในตะกอนหาดทราย 25 สถานี ในน้า 20 สถานี และในสิ่งมีชิวิต 9 สถานี

แนวโน้มสถานการณ์ ปัจจุบันพบการปนเปื้อนไมโครพลาสติกทั่วไปในสิ่งแวดล้อมทางทะเล ซึ่งในระยะยาวอาจเป็นอันตรายและส่งผลกระทบมนุษย์ หากมีการปนเปื้อนมากขึ้นไปยังห่วงโซ่อาหาร ผลกระทบของไมโครพลาสติก

          กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งศึกษาเบื้องต้นพบผลกระทบของไมโครพลาสติกบางชนิดต่อสัตว์ทะเลพวกครัสตาเซียน (ปูลม) คือ มีการเปลี่ยนแปลงด้านสรีระวิทยาของปูลม เนื่องจากความเครียด ดังนี้
1. ทาให้เม็ดเลือดปูเพิ่มขึ้น เนื่องจากความเครียดสูง
2. การสร้างเอ็มไชด์มาทาลายสิ่งแปลกปลอม
3. ปริมาณโปรตีนในเลือดต่ากว่าปกติ เพราะการเผาผลาญอาหารได้น้อยลง
4. ในตับปู มีเซลล์สะสมสารอาหารน้อยกว่าปกติ ทาให้สัตว์อ่อนแอได้

          ส่วนขยะพลาสติกอื่น ๆ มีผลต่อสัตว์ทะเลต่าง ๆ ที่กินขยะพลาสติกเข้าไปในร่างกายมีผลกระทบตั้งแต่ เล็กน้อยหรือไม่มีผลกระทบไปจนถึงเป็นสาเหตุทาให้ถึงตายได้ เช่น พบเห็นขยะพลาสติกในส่วนทางเดินอาหารของสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ เช่น เต่า โลมา วาฬ และพะยูน